Seoul Startup Ecosystem 2025: บทเรียนจากเกาหลีใต้สู่การ Go Global

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเดินทางไป กรุงโซล (Seoul) ร่วมกับพี่ๆ น้องๆ Startup Founders ในโครงการ 2025 Global Inbound Program ที่จัดโดย CSII (Chulalongkorn School of Integrated Innovation) ร่วมกับ SBA (Seoul Business Agency) ต้องบอกเลยว่าทริปนี้เปิดหูเปิดตาผมมาก ทั้งในแง่ของ Startup Ecosystem ของเกาหลี และแนวทางการไปสู่ตลาดโลก (Go Global) ที่เราสามารถเรียนรู้ได้เยอะมากๆ

ทำไมต้อง Seoul?

สิ่งแรกที่ผมได้รู้คือ Seoul ถูกจัดอันดับเป็นเมืองที่มี Startup Ecosystem ดีที่สุดอันดับ 8 ของโลกในปี 2025 และรัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งเป้าให้ติด Top 5 ภายในปี 2030 เรียกว่าคิดใหญ่และมองไกลจริงๆ

เกาหลีใต้เริ่มวางรากฐานตั้งแต่ยุค 1980s โดยโฟกัสที่ Semiconductor และ Electronics สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจให้แข็งแรง จนทำให้เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% และในวันนี้ Startup Economy ก็กลายเป็นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลลงทุนลงแรงเต็มที่

Unicorn และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง

ตอนนี้เกาหลีใต้มี Unicorn ถึง 33 ตัว เช่น

  • Naver และ Kakao ที่กลายเป็น Super App ครอบคลุมทุกบริการในชีวิตประจำวัน
  • Coupang ที่ขึ้นชื่อว่า “สั่งคืนนี้ พรุ่งนี้ได้ของ”

เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการสนับสนุนจากระบบนิเวศที่ครบวงจร เกาหลีมี Accelerators 444 ราย และ Venture Capital 246 ราย ที่พร้อมลงทุนในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่ Tech, Healthcare จนถึง Marketing & Branding

สิ่งที่ผมประทับใจมากคือเขาไม่ได้โฟกัสแค่ Startup เกาหลีเอง แต่ยัง เปิดรับ Startup ต่างชาติ โดยมีหน่วยงานรัฐช่วยเรื่องการตั้งบริษัท หาเงินทุน และสนับสนุนการเติบโตใน Global Scale ผ่านโครงการต่างๆ เช่น K-Startup Grand Challenge

ประสบการณ์ IR Pitching ที่ Seoul

หนึ่งในไฮไลต์ของทริปคือการได้เข้าร่วม Demo Day Pitching ที่จัดเล็กๆ สำหรับ Founder ไทย เราได้โอกาสนำเสนอไอเดียต่อหน้า VC เกาหลี ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่ามาก เพราะนอกจากจะได้ Feedback สดๆ แล้ว ยังทำให้เห็นมุมมองการลงทุนที่แตกต่างจากบ้านเราอย่างชัดเจน

การมองไกล: Vision ของ Startup เกาหลี

ใน Session “Creating Global Success in the era of AI” ในงาน Try Everything 2025 ผมได้ฟัง Founder และ VC จากเกาหลี ญี่ปุ่น และสหรัฐ แชร์มุมมองการไป Global ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจหลายข้อ เช่น:

  1. การเข้าถึงทุน:
    • ญี่ปุ่นและเกาหลี เน้นสร้าง Relationship กับ VC และองค์กรในพื้นที่
    • สหรัฐ เน้นทำ Solution ให้แข็งแรงแล้วพร้อมบุกตลาดได้เลย
  2. Business Model ต้องปรับให้เหมาะกับแต่ละประเทศ
    โมเดลที่เวิร์กใน Local Market ไม่จำเป็นต้องเวิร์กใน Global Market การเข้าร่วม Hackathon หรือ Competition ช่วยเรียนรู้ตลาดใหม่ได้เร็วขึ้น
  3. ปัญหา Talent
    เกาหลีและญี่ปุ่นมี Seed Funding เฉลี่ย 1 ล้าน USD (ถือว่าเยอะเมื่อเทียบกับไทย) แต่ยังน้อยกว่าสหรัฐที่สูงถึง 7 ล้าน USD ทำให้ US สามารถดึงดูด Talent ระดับโลกได้ง่ายกว่า
  4. การคิดเล็กเกินไป
    Startup Asia มักแก้ปัญหาเฉพาะทางเพื่อ Local Investor ซึ่งอาจทำให้ Scale ยาก ต่างจาก US ที่คิดถึง Global Market ตั้งแต่วันแรก
  5. บทบาทของ Ecosystem
    โปรแกรมอย่าง Try Everything โดย SBA เปิดโอกาสให้ Startup ต่างชาติเข้าใจตลาดเร็วขึ้น และการเข้าร่วม Tech Event ก็ทำให้ได้เชื่อมโยงกับ VC ระดับโลกโดยตรง

ผมรู้สึกว่า เกาหลีไม่ได้คิดแค่สร้าง Startup ในประเทศ แต่เขาคิดถึงการ สร้าง Seoul ให้เป็น Global Startup Hub ที่ดึงดูด Talent และนวัตกรรมจากทั่วโลก มาตั้งรากฐานในเกาหลีแล้วส่งออกไปตลาดโลก

สำหรับผมและเพื่อนๆ Founder ไทย ทริปนี้เป็นเหมือนบทเรียนว่า หากอยากโตในระดับ Global เราต้องไม่หยุดที่ตลาดบ้านเรา แต่ต้อง เรียนรู้จาก Ecosystem ที่แข็งแรง ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาดใหม่ และคิดถึง Global ตั้งแต่วันแรก

ขอขอบคุณพี่ Ronnie Vaiyavuth และทีมงานคุณภาพจาก CSII ที่จัดโครงการดีๆ ให้ทีม Honey Lime Agencyได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตา ได้รับประสบการณ์จาก Seoul Startup Hub แบบจัดเต็ม ในงานนี้ครับ 🙏🏼

ใส่ความเห็น